ยอดวิว Visit

วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2561

เพราะอะไรเด็กบางคนถึงได้ดีกว่าเพื่อน

บันทึกจากการบรรยาย ของคุณหมอประเสริฐ ผลผลิตการพิมพ์
6 ธ.ค.61
สุโขทัย

เพราะอะไรเด็กคนหนึ่งถึงไปได้ดีกว่าเด็กอีกคนหนึ่ง เป็นหัวข้อที่คุณหมอตั้งเป็นคำถามในการพูดในวันนี้

ทักษะศวรรษที่ 21
- Learning skills คือการรู้จักคิด วิเคราะห์ ทักษะความคิดเชิงวิภาค ความคิดสร้างสรรค์ เริ่มจากทักษะเหล่านี้
1.รู้จักคิดวิเคราะห์ กล้าที่จะบอกข้อสงสัย
2. สื่อสารออกมาให้รับรู้ว่ามีความเห็นอย่างไร รู้จักมารยาทในการโต้แย้งอย่างสุภาพ
3. รู้จักทำงานร่วมกัน
4. ความคิดสร้างสรร เถียงให้นาน และเถียงให้ดี จะเกิดในข้อนี้

ทักษะชีวิตมาจากสมองส่วนหน้า EF ทำงานเป็นวงกลม รู้จักวางแผนสำหรับอนาคตได้ รู้จักพักได้ รู้จักพลาดได้ แต่รู้จักเดินหน้าต่อได้

Problem based learning เป็นพื้นฐานทักษะชีวิต ในการทำงานให้ส่งงานได้เป็นไปตามเป้าหมาย

ระบบการศึกษาสอนให้เด็กเป็นเด็กเห็นแก่ตัว เพราะกีดกันเพื่อนๆ ในการเรียนที่ดีกว่า เราต้องสอนให้ลูกรู้จักการเอาตัวรอดโดยไม่สร้างนิสัยที่ไม่ดี

การให้เด็กดูจอคอมก่อน 2 ขวบส่งผลต่อกลุ่มเสี่ยงที่เด็กจะไม่มองหน้าพ่อแม่ เป็นออทิสติกได้

หยุดเล่นหรือสิ่งที่ไม่ดีไปหาสิ่งที่ดีกว่า เป็นการใช้ความสามารถ EF ที่หยุดคิด หยุดทำ ไปทำสิ่งที่ดีกว่า

Executive Function
ทำไมเด็กคนหนึ่งถึงไปได้ดีกว่าเด็กอีกคนหนึ่ง

Response Inhibition หยุดในสิ่งที่ทำ แล้วเปลี่ยนไปหาสิ่งใหม่ เรียกว่า Shifting ไม่ใช่เรื่องนิสัยแต่เป็นเรื่องของสมอง เป็นความสามารถของสมอง ถ้าได้ลูกที่มีสมองไม่ดี ก็จะไม่สามารถหันไปหาสิ่งใหม่ได้ เช่นดูยูทูปอยู่ไม่สามารถหันไปมองหน้าแม่ได้ เล่นอยู่ ไม่สามารถหยุดไปทานข้าวได้

- เด็กต้องรู้จักดูแลตัวเองได้ ภายใน 3 ขวบ
- เด็กต้องดูแลสิ่งรอบตัวเองได้ ก่อน 7 ขวบ
- เด็กต้องดูแลสิ่งที่อยู่รอบบ้านได้
- เด็กต้องดูแลสิ่งที่อยู่นอกบ้านได้
สิ่งเหล่านี้เด็กต้องมีความสามารถในการควบคุมอารมณ์ ควบคุมความคิดได้ แล้วเขาจะทำสิ่งต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นได้

EF คือความสามารถในการควบคุมตัวเองได้ เอาตัวรอดได้จากสิ่งไม่ดี และมีทักษะชีวิตที่ดี

การควบคุมตัวเองขั้นต้น ความสามารถที่จะโฟกัสในสิ่งที่น่าเบื่อหรือไม่ชอบในระยะเวลานานได้ เช่นการอ่านหนังสือเป็นเวลาที่นานได้

EF สามารถวัดได้กับเด็ก 4 ขวบ ขึ้นไป
Delayed Gratification คือการอดเปรี้ยวไว้กินหวาน การอดกั้นที่จะบรรลุเป้าหมายให้ได้

ความจำใช้งานต้องใช้ความเร็ว ต้องเล่น และทำงาน ในการบริหารความจำใช้งาน ต้องการควบคุมตัวเองเพื่อให้เล่นได้ชนะ เพื่อทำงานให้สำเร็จ เล่นมากทำงานมาก ความจำคอขวดก็จะกว้างขึ้น และหยุดในสิ่งที่ อยากทำไปทำในสิ่งที่ต้องทำได้

ต้องมีความยืดหยุ่น ที่จะเปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนวิธี เปลี่ยนแผน ต้องยืดหยุ่นที่ ปรับเปลี่ยนกับปัญหาได้

วงจร EF ต้องสร้างให้เสร็จก่อน 9 ขวบ วงจรจะถูกสลายทิ้งไปตามสิ่งต่างๆ ที่เราไม่ได้ใช้ ดังนั้น เราต้องสร้างเส้นประสาท EF ให้กับลูกตั้งแต่เล็ก เพราะเส้นประสาทจะค่อยๆ สลายเส้นสมองที่เราไม่ได้ใช้ เช่นการทำงานบ้านก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สามารถสร้าง EF ให้กับเด็กได้

การทำงานของสมองในการดึงเด็กออกจากสิ่งที่อันตราย

สมองสีม่วงตามภาพ จะพัฒนาเต็มที่ตอนอายุ 15 ปี แต่สีเขียวจะพัฒนาเต็มที่ ตอนอายุ 25 ปี ซึ่งส่วนนี้ เป็นสมองที่ควบคุมทางด้านอารมณ์ หรือส่วนของ EF

เช่นเรื่องการมีเพศสัมพันธ์รู้จักยับยั้งรู้จักป้องกัน

เช่น ถึงบ้านแล้วได้เล่นเกมส์เลย เขาจะไม่รู้จักการยับยั้งชั่งใจ

การมาฟังบรรยายวันนี้คุณหมอสอนให้รู้ทัน ไม่ใช่เพื่อหลบเลี่ยงปัญหา ต้องสอนให้ลูกรู้จักการรู้เท่าทัน และแก้ปัญหา เราต้องสอนเด็กให้มี EF ในสภาพสังคมที่มีสิ่งกีดขว้างรอบตัวเยอะมาก

ต้องรู้จักควบคุมตัวให้ได้และเร็วเพื่อให้รู้ตัวทันกับปัญหาที่จะเข้ามา

พัฒนาเป็นไปตามลำดับชั้น ดังนั้นเราต้องสร้างแต่ละชั้นไปตามลำดับชั้นและให้มั่นคง เพราะถ้าฐานไม่แน่น ก็จะได้ยอดที่ไม่มั่นคง

เมื่อเวลาเจอวิกฤต จะมาแก้ไข มันจะแก้ไขยาก สมองตัดแต่งแล้ว เราจะไปตัดต่อใหม่ไม่ได้ ดังนั้นก่อนจะแก้ไขยาก เราควรที่จะเริ่มต้นเป็นไปตามหน้าที่ของแต่ละช่วงวัย

ชีวิตเด็กก็เหมือนปิระมิด

ชั้นที่ 1 เริ่มจากการสร้างแม่ และสร้างโลกให้กับลูก สร้างความไว้ใจให้กับลูกในช่วง 0-12 เดือนของลูก
สายสัมพันธ์ แม่เพิ่งจะมีจริงช่วง 12 เดือน เพราะเขาจะหันมามองแม่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย การหันมามองเราก็จะน้อยลงไปเรื่อย แต่ถ้าเราสร้างสายสัมพันธ์ที่ดี ลูกจะยังคงมีความผูกพัน และคิดถึงแม่ทุกครั้งเวลาเขาทำสิ่งต่างๆ จนกระทั่งวันที่แม่จากไปก็ตาม ถ้าสายสัมพันธ์ แน่นพอ จะดึงเด็กออกจากอบายมุขได้

สร้างสายสัมพันธ์ สร้างแม่ให้มีตัวตน แม่มีอยู่จริง เวลาตัวตนไม่มี การที่ลูกจะเข้าสู่อบายมุขและทำร้ายตัวเองได้ง่าย เพราะเขาไม่มีตัวตนไม่ได้รักตัวเองจริง

เด็กจะเริ่มรู้จักแยกตัวเองได้ เมื่ออายุครบ 3 ขวบ และหลังจากนั้นเขาก็จะสามารถพร้อมที่จะก้าวไปสู้ขั้นต่อไปได้

ชั้นที่ 2 ร่างกายพร้อมที่จะพัฒนา เช่นการกั้นฉี่กั้นอึได้ ไปสู่กล้ามเนื้อปลายแขนปลายขา เราไม่ต้องสอน เราจะสอนนั่นแค่กติกา มารยาททางสังคม ห้ามทำร้ายคนอื่น ห้ามทำร้ายตัวเอง ห้ามทำร้ายข้าวของ

ความใจถึงของเรา จะเป็นตัวที่จะทำให้ลูกเราไปสู่การพัฒนา ถ้าเราห้ามมากเกินไปเขาจะไม่ยอมทำตามอะไรเลย หลักการคือเราต้องห้ามให้น้อยที่สุด เช่นพาไปเล่นในที่ที่เราจะไม่ต้องห้ามอะไรเลย ทุกอย่างอยู่ที่ความใจถึงของเรา

Self esteem ความภูมิใจ รักตัวเอง ทำสิ่งต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง
ต้องเล่น และปล่อยให้เขาทำ ชั้นที่ 2 ของเด็กก็จะแข็งแรง
เราเลือกการศึกษาที่โรงเรียนไม่ได้แต่เราก็เลือกสิ่งต่างๆ ที่บ้านให้ลูกได้

ชั้นที่ 3 ช่วง 4-6 ปี
ใช้ 10 นิ้วสมองใหญ่กว่า การใช้ 3 นิ้วจับดินสอ ขีดเขียนเลอะเทอะสมองก็จะใหญ่กว่า ระบายสีในเส้น

นิ้วมาก่อนสมอง

ชั้นที่ 4 ช่วง 7-10 ขวบ

จัดพื้นที่ให้เด็กเล่นให้เต็มที่ ช่วงก่อนวัยนี้เขาจะยังเห็นแต่ตัวเองยังไม่ได้มองรอบข้าง และเริ่มหันมามองคนอื่นๆ เมื่ออายุ 7 ขวบหลังจากการมองตัวเองเป็นศูนย์กลาง

การอ่านนิทาน ครึ่งชั่วโมงก่อนนอนให้ลูกฟัง ตลอด 3 ปี จะทำให้พ่อแม่มีอยู่จริง
ต้อง mark เวลาต่างๆ ให้เป็นเวลาให้ลูก แล้วลูกจะรู้ตัวเองเป็นเวลา

การเล่นก็จะฝึกเพื่อลดความก้าวร้าวได้ จะมีพัฒนาการทางภาษาได้ไวมากโดยที่เราอาจจะไม่คาดคิด

เล่นเสรี ในที่โล่ง ให้เล่นโดยการหาเป้าหมายในการเล่นเอง การเรียนหนังสือมัวแต่จับดินสอเป็นการทำลายส่วนที่เหลือ

งานบ้านเป็นสิ่งที่หาให้ทำได้รอบตัว งานอาสาสมัคร เป็นงานที่เหมาะกับเด็กเพราะเขาทำแล้วได้รับความชมเชย เด็กเขาจะรู้คุณค่าชีวิตและต่อสู้กับชีวิตได้ จากการชมเชยเพราะเขาจะอดทนต่อการรอคอยผลลัพธ์ของการกระทำได้ยาก แต่การทำอาสาสมัครมักจะได้รับคำชมได้ไว

Self Esteem ต้องค่อยๆ สร้างอย่าไปเร่ง หากลูกของเราเขายังไม่พร้อม อย่าไปตามระบบการศึกษามากเกินไป เพราะเด็กแต่ละคนมีความสามารถไม่เท่ากัน ดังนั้นอย่าไปทำลาย self esteem ของเด็กตั้งแต่เล็ก

ชั้นที่ 5 วัยรุ่น

ว่ากันว่า การได้ชื่อว่าวัยรุ่น เขาต้องปีกกล้าขาแข็ง พร้อมที่จะเดินไปสู่กับปัญหาเองได้ ต้องหาอัตตลักษณ์

คุณหมอยกตัวอย่างว่า สำหรับลูกคุณหมอ คุณหมอห้ามแค่ 2 เรื่อง
ห้ามใช้ยาเสพติด
ห้ามมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน

ก่อนจะถึงขั้นที่จะห้ามได้แค่ 2 ข้อนี้ เด็กต้องมีอัตตลักษณ์และมีหน้าที่ มีคนรัก มีเพื่อน มีอาชีพ

เพศของเด็ก บางครั้งเขาเลือกเองไม่ได้ เราควรจะรักที่เขาเป็น และเคารพกับทุกเพศแล้วเขาจะรักตัวเองมากขึ้น

การสอนให้ลูกรักคนอื่น จะทำให้เขารู้จักรักตัวเองได้มากขึ้น

พ่อแม่ที่ฉลาดต้องไม่เป็นศัตรูกับแก๊งส์ของลูก ต้องฟังวัยรุ่นเล่าเรื่องแก๊งส์ของเขาแล้วอย่าเพิ่งขัดเขา

อาชีพเป็นสิ่งที่เด็กจะแสดงให้เห็นว่า เขาอยากเป็นอะไรอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นไปตามแฟชั่น อาชีพเป็นนามธรรมสำหรับวัยรุ่น EF ต้องสร้างเพื่อให้เห็นภาพในอนาคต

พันธุกรรมเป็นสิ่งที่แก้ยาก ดังนั้น อยู่ที่เราจะเลี้ยงดูเขาอย่างไร ตั้งแต่ในครรภ์

การเปลี่ยนแปลงเด็กเลี้ยงยากเป็นเด็กเลี้ยงง่าย ด้วยการให้ บ้านเรามักจะสอนให้เด็กเข้มแข็งตั้งแต่เล็ก แต่เราควรจะให้จนเขารู้จักพอ แล้วเขาจะเป็นเด็กที่เลี้ยงง่าย เช่นการให้กอด การอุ้ม ตั้งแต่เล็ก

ร่วมมือ corroboration
Consistence สม่ำเสมอ
เพิกเฉย
Time out เอาเขาออกจากพื้นที่ ในพื้นที่ที่ผีสิงแม่ เอาออกจากพื้นที่ที่แม่มีอารมณ์โกรธ

จากเด็กที่เห็นตัวเองเป็นศูนย์กลาง ไม่ว่าจากจินตนาการของเขา เชื่อในแม่มด ซุปเปอร์ฮีโร่ ปล่อยให้เขาคิดและเล่นให้สุด ในช่วง 7 ปีแรก

เด็กจะกลัวการถูกทำโทษ ควรจะใช้การลงโทษให้มีประสิทธิสภาพควรจะเอาจริง ไม่ต้องรักษาหน้า ทำให้ลูกรู้ว่าพ่อแม่เอาจริง หลังจาก 7 ขวบ เขามีโลกที่มีผู้อื่น ไม่ได้เห็นแต่ตัวเองแล้ว

7-14 ปี เป็นช่วงที่ชอบคำชม และรางวัล
หลัง 14 ปี รางวัลเริ่มไม่เห็นผลเพราะนามธรรมเริ่มมีผลกับเด็ก อยากจะทำความดีโดยไม่ได้รางวัล และเขาจะเรียนรู้ที่จะทำความดีเองได้

หาเรื่องชม การให้รางวัลควรให้แบบการเล่นไพ่ ให้แบบให้เมื่อไรไม่รู้ ให้เท่าไรไม่รู้

เริ่มต้นง่ายๆ จากเรื่อง ร่างกาย —-รอบร่างกาย ——บ้าน ——รอบบ้านสาธารณะ

วัยรุ่นมีสิ่งที่เราคุมเขาได้ มี 2 อย่าง คือ เวลากับเงิน แต่เวลาจะคุมยากหน่อย ดังนั้นเราควรจะพุงไปที่ เงินมากกว่า เพราะเราจะคุมได้ง่ายกว่า

เด็กส่วนใหญ่ จะต้องใช้การเตือนโดยกำหนดเวลา และทำซ้ำๆ โดยไม่ทะเลาะกัน เพียงแค่ทำซ้ำๆ และยืนอยู่ตรงนั้นให้ลูกเห็นว่าเราจริงจังนะ

Q&A

❓ชมที่ผลลัพธ์ เด็กจะเหลิงได้เช่นเก่งจัง มีชื่อแปะบอร์ดด้วย ดังนั้น ควรจะเปลี่ยนเป็นชมด้วยคำกิริยา ชมที่พฤติกรรม เช่น ขยันจังเลย

❓พูดว่า เด็กดื้อ ไม่ได้ทำให้เขาดื้อตามปาก แต่จะไปทำลาย self esteem ของเขาได้

❓เวลาลูกไม่ทำตามหรือดื้อที่จะทำตามที่เราบอก ขั้นตอนดังนี้

1. ถ้าแม่ไม่มีอยู่จริง เวลาจะสั่งลูก ลูกเลยไม่ทำตาม ควรมีตัวจริง คนสำคัญกับลูกอยู่บ้าน เช็คว่าเรามีพลังมากพอหรือยัง ถ้าลูกไม่ทำตาม เราต้องหันไปดูตรงจุดนี้ก่อน
2. แล้วมาทวนดูว่า มีฝ่ายค้านในบ้านเปล่า
3. เขาได้เล่นมากพอหรือยัง ได้ระบายความคับข้องใจในการต้องอยู่ในกรอบพอหรือยัง เช่นกรอบระเบียบที่โรงเรียนมาทั้งวัน
4. สุดท้าย ถ้าเขาไม่ทำ ต้องมีคนไปจับมือทำ โดยที่ต้องไม่โกรธ ทำให้เขารู้อย่างไร เขาก็ต้องทำ ค่อยๆ ทำไป อย่างสม่ำเสมอ ถ้าเขาไม่ทำตาม ต้องกลับไปทบทวนว่ามีตรงจุดไหนที่ทำให้เขาไม่ทำตาม

❓เวลาสอนลูก ทำเหมือนหนังสือเพื่อพิจารณา ต้องสั้นได้ใจความ ตรงๆ เป็นประโยคบอกเล่า ไม่ต้องเสียงดัง ถ้าเรามีอารมณ์ เด็กจะสติแตกก่อน จะไปโฟกัสกับอารมณ์พ่อแม่มากกว่าความต้องการของเรา

การมีลูก 2 คน ควรให้ความสำคัญกับคนพี่มากกว่า แต่เพียงเล็กน้อย ไม่ให้รู้สึกว่าลำเอียง แค่ให้คนน้องรู้จักเคารพพี่ ควรมีเวลาส่วนตัวกับลูกทีละคนด้วย ไม่ใช่มีเวลากับ 2 คนตลอดเวลา และเมื่อร่วมทุกข์ร่วมสุขนานพอ พี่น้องก็จะรักกันเองได้ แต่ต้องรู้จักรอคอย อย่าไปเร่งรัด ถ้าน้องรู้สึกถึงความลำเอียงก็ควรหันมาให้เวลากับคนน้องมากขึ้น

ข้อมูลจากการบรรยาย รอบที่แล้วในวันที่ 19 พ.ย. 2560
บันไดขั้นที่ 1 คือการสร้างแม่ ใช้เวลา 12 เดือน แม่มีจริง object constancy วิธีการดังนี้
1. อ่านนิทานก่อนนอนทุกคืน ให้ตรงเวลา พ่อแม่วางทุกอย่าง พ่อแม่จะมีอยู่จริง ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ความเป็นพ่อแม่จะมีอยู่จริงสำหรับลูก ลูกจะเชื่อฟังในคำพูดของพ่อแม่ การมีตัวตนของพ่อแม่ สายสัมพันธ์จะมา self esteem จะมา แล้วEF ก็จะถูกสร้าง การเรียนรู้ในชีวิตก็จะประสบความสำเร็จ
2. การเล่นกับลูก การเล่นดินทราย ช่วยให้ความก้าวร้าวของลูกลดหายไปได้เอง เพียงแค่กองดินทรายกองหนึ่งไว้ให้ลูก การที่เราเข้าไปเล่นกับลูก จะสร้างสายสัมพันธ์ที่ดี
3. การเล่นดินน้ำมัน เล่นให้สนุกและไม่เหนื่อย แต่เราต้องเล่นอยู่ด้วย
4. การต่อบล็อคไม้
5. การทำงานบ้าน
7 ขวบปีแรกเป็นช่วงของการเล่น เล่นเพื่อสร้าง cell สมอง

บันไดขั้นที่ 2 สายสัมพันธ์ attachment

บันไดขั้นที่ 3 ตัวตน self ขวบปีที่ 3 จะเริ่มบันไดขั้นนี้ แต่จะยังคงล่ามอยู่กับแม่ แล้วแม่เป็นคนใส่ฝันให้กับลูก แต่ให้ลูกเป็นคนเลือกเป้าหมายของเขาเอง

บันไดขั้นที่ 4 เซลฟ์เอสตีม self esteem สิ่งที่สำคัญในทศวรรษนี้

บันไดขั้นที่ 5 ควบคุมตัวเอง self control

การดูแลตัวเองได้ ไปไหนทำอะไรด้วยตัวเองได้ ถ้าเราดูแลตัวเองได้ ก็จะพาไปสู่ EF ที่ดี
Distraction คือการถอนตัวยับยั้งชั่งใจจากสิ่งที่ตัวเองสนใจได้ สามารถทำสิ่งต่างๆ ได้ไม่มีสิ่งใดมาเป็นอุปสรรคในการจะผ่านอุปสรรคในอนาคตไปได้ ทำของยากก่อนแล้วค่อยของง่าย สิ่งเหล่านี้จะพาไปสู่สมองส่วนหน้าที่ดี

บันไดขั้นที่ 6 อีเอ็ฟ Excutive Function EF
EF ความสามารถของสมองควบคุมความคิด อารมณ์ และการกระทำ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้ เป้าหมายที่เด็กเป็นคนกำหนดเป้าหมายของเขาเอง โดยที่เราไม่ได้เป็นคนเลือกหรือกำหนดให้เขา

4-5 ขวบ นิ้วมือ กล้ามเนื้อเริ่มแข็งแรง พ่อแม่ควรจะเริ่มใส่ใจในเรื่อง EF ความจำใช้งาน ความเร็วที่จะรู้ว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ อะไรที่ดีหรือไม่ดีที่จะทำ ในคลาสยกตัวอย่างเรื่องการมีเพศสัมพันธุ์

อบายมุขมักมากับความเร็ว ดังนั้น EF จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ

ดังนั้น 6 ปีแรก ควรให้เล่นและทำงานบ้าน

9- 15 ปี สมองจะเริ่มสะสางสิ่งที่ไม่ดีออกไป กำจัดสิ่งที่ไม่ได้ใช้ออกไปเพื่อเตรียมรับรู้สิ่งใหม่ๆ อะไรที่ใช้งานไม่ถูกตัดทิ้ง คือ EF สมองที่รู้จักการทำงานบ้าน ความจำ คิด วิเคราะห์ ก็จะคงอยู่
- [x] ดูแลตัวเองได้ แบ่งเป็น 4 พื้นที่ 1.ร่างกายตัวเอง ดูแลกินข้าว อาบน้ำ แปรงฟัน เข้านอน ภายใน 3 ขวบ
2. พื้นที่รอบร่างกาย รู้จักเก็บของเล่น วางแปรงสีฟัน สบู่ให้เรียบร้อยถ้าเพิ่มอีกหน่อย ขัดห้องน้ำ กวาดบ้านถูบ้าน
3. พื้นที่รอบบ้าน ดูแลบ้าน กวาดบ้าน ถูบ้าน เมื่อใดที่เด็กสามารถดูแลบ้านตัวเองได้ เขาก็จะรู้จักการดูแลนอกบ้านได้
4. พื้นที่นอกบ้าน เรื่องมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ก็เป็นเรื่องนี้ ความสามารถในการตั้งใจไม่มี ควบคุมตัวเองก็ไม่ได้ ทำอะไรด้วยตัวเองไม่เป็น

❓ ปัญหาของในโรงเรียนอนุบาลส่วนใหญ่ พ่อแม่มักจะให้ความสำคัญกับการเรียนในโรงเรียนมากกว่า กิจกรรมอะไรที่ลูกได้ทำที่โรงเรียน พ่อแม่มักจะถามคุณครูว่า วันนี้คุณครูสอนอะไร มีการบ้านอะไรไหมค่ะ การทำให้พ่อแม่หันมาให้ความสำคัญกับการเอาตัวรอด มากกว่าการเรียนเก่ง ต้องใช้เวลา เพราะระบบการศึกษาของบ้านเรา ดังนั้น พ่อแม่เองควนรจะเริ่มจากตัวเราเองก่อน อย่าไปยึดติดกับระบบการศึกษามากนัก

จบการบรรยาย ขอบคุณคุณหมอประเสริฐ ที่ได้มาให้ความรู้ และเตือนสติไม่ให้ผีสิงแม่ตอนอยู่กับลูก

ขอบคุณคุณหมอที่อนุญาตให้เผยแพร่ความรู้ที่ได้รับมาในวันนี้
ขอบคุณครอบครัวที่เข้าใจและอนุญาตให้โดนงานไปฟังคุณหมอ
ขอบคุณลูกสาวที่เป็นลูกสาวที่น่ารักให้แม่ชื่นใจ
ขอบคุณตัวเองที่ขยันพอที่จะขับรถไปกลับกว่า 300 กิโล ไปนั่งฟังคุณหมอในวันนี้

ในภาพอาจจะมี ข้อความ
ในภาพอาจจะมี ข้อความ

ในภาพอาจจะมี 1 คน, ข้อความ

ในภาพอาจจะมี 1 คน, กำลังยิ้ม

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

ในภาพอาจจะมี 1 คน, ข้อความ

ในภาพอาจจะมี 1 คน

ในภาพอาจจะมี ข้อความ

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป และข้อความ



ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป และข้อความ

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป และข้อความ

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

ในภาพอาจจะมี 1 คน, หน้าจอ และสถานที่ในร่ม

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป และข้อความ

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป และข้อความ

ในภาพอาจจะมี 1 คน, หน้าจอ
ในภาพอาจจะมี 1 คน, ข้อความ

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป และข้อความ

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

ไม่มีข้อความกำกับภาพอัตโนมัติ

ในภาพอาจจะมี 1 คน, ข้อความ

ในภาพอาจจะมี 1 คน

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป และข้อความ

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป, ห้องรับแขก, หน้าจอ, ตาราง และสถานที่ในร่ม

ในภาพอาจจะมี หนึ่งคนขึ้นไป และหน้าจอ



ที่มา เรื่องและภาพ
fb: Vam Poolaor

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น