วันนี้ (7 พ.ค.2559) นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่าหน้าร้อนปีนี้ มีผู้เสียชีวิตจากโรคลมแดดแล้ว 34 คน จึงขอเตือนประชาชนไม่ให้อยู่กลางแดดเป็นเวลานาน ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องดื่มน้ำก่อนออกจากบ้าน และถ้ามีอาการอ่อนเพลียควรรีบเข้าที่พักทันทีผู้ที่ทำงานหรือกิจกรรมกลางแดดเช่นงานก่อสร้าง เกษตรกร นักกีฬาสมัครเล่น ผู้สูงอายุ เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่างๆ รวมทั้งคนที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เสี่ยงที่จะเป็นโรคลมแดดได้
นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข บอกว่าฤดูร้อนปีนี้ตั้งแต่เดือนมีนาคมจนถึง 22 เมษายน มีผู้เสียชีวิตจากโรคลมแดดแล้ว 34 คน เพราะปีนี้ประเทศไทยมีอากาศร้อนจัด คนที่เป็นโรคลมแดดจะอ่อนเพลียคลื่นไส้ ไม่มีเหงื่อออก หัวใจเต้นผิดจังหวะ และช็อค ถ้าไม่ได้รับการรักษา อาจเสียชีวิตได้ แม้จะเป็นคนหนุ่มสาวที่สุขภาพแข็งแรง อยู่กลางแดดร้อนจัด ก็อาจเป็นได้ จึงไม่ควรออกกำลังกายหรือทำงานกลางแดดเป็นเวลานาน อยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก สวมเสื้อผ้าที่โปร่งสบาย สีอ่อน ดื่มน้ำ 1-2 แก้วก่อนออกจากบ้านในวันที่อากาศร้อน
สำหรับอาการของโรคลมแดด หรือ โรคฮีทสโตรก นั้น นพ.พินิจ ฟ้าอำนวยผล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ อธิบายว่า โรคฮีทสโตรกเป็นโรคที่เกิดจากการที่ร่างกายได้รับความร้อนมากเกินไป จนทำให้ความร้อนในร่างกายสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส สำหรับอาการที่เบื้องต้น ได้แก่ เมื่อยล้า อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ หน้ามืด ระยะถัดมาอุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว รูขุมขนจะปิดจนไม่สามารถระบายเหงื่อได้ บางรายอาจถึงขั้นชักกระตุกและหมดสติ มีไข้สูง ตัวร้อนมาก ซึ่งส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิตและระบบสมอง ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้องและทันเวลา อาจทำให้หัวใจหยุดเต้นและถึงแก่ชีวิตได้
อาการสำคัญที่แสดงว่า ต้องหยุดพักทันทีก็คือ ไม่มีเหงื่อออก แม้จะอากาศร้อน ตัวร้อนจัดขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกกระหายน้ำมาก วิงเวียน ปวดศีรษะ มึนงง คลื่นไส้ หายใจเร็ว อาเจียน ซึ่งต่างจากการเพลียจากแดดทั่วๆ ไป ที่จะพบว่ามีเหงื่อออกด้วย
การปฐมพยาบาลเบื้องต้น หากช่วยเหลือเบื้องต้นทันท่วงทีและถูกวิธีผู้ป่วยมีโอกาสรอดชีวิตสูง
1 รีบนำตัวเข้ามาในที่ร่ม
2 จัดให้นอนราบ ยกเท้าสูงทั้งสองข้าง
3 คลายเสื้อผ้าให้หลวม
4 ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดตามตัวและศรีษะ ร่วมกับการใช้พัดลมเป่าระบายความร้อน เพื่อลดอุณหภูมิร่างกายให้ลดต่ำลงโดยเร็วที่สุด
5 หากยังไม่ฟื้น ต้องรีบนำตัวส่งโรงพยาบาล
http://news.thaipbs.or.th/content/252195
http://www.thaihealth.or.th/Content/28086
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น